ประวัติค็อกเทล
ค็อกเทลเป็นเครื่องดื่มที่สะท้อนทั้งวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และรสนิยมของผู้คนในแต่ละยุคสมัย จากเครื่องดื่มพั้นช์ในยุคล่าอาณานิคม สู่ค็อกเทลสุดประณีตในบาร์สมัยใหม่ เส้นทางของค็อกเทลนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจ
ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 17–18 เครื่องดื่ม "พั้นช์" ที่ผสมเหล้า น้ำผลไม้ น้ำตาล และเครื่องเทศ ได้รับความนิยมอย่างมากในงานสังสรรค์ โดยมักเสิร์ฟในชามใหญ่ให้ทุกคนตักดื่มร่วมกัน แนวคิดในการผสมส่วนผสมหลายชนิดเข้าด้วยกันนี้ ได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของค็อกเทลในเวลาต่อมา
คำว่า “ค็อกเทล” ปรากฏเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1806 ในหนังสือพิมพ์ของนิวยอร์ก ซึ่งนิยามว่าเป็น "เครื่องดื่มกระตุ้นที่ประกอบด้วยเหล้า น้ำตาล น้ำ และบิทเทอร์" สูตรนี้คล้ายกับ Old Fashioned ซึ่งถือเป็นค็อกเทลคลาสสิกที่เก่าแก่ที่สุดสูตรหนึ่ง
ในศตวรรษที่ 19 ศิลปะในการผสมค็อกเทลเริ่มชัดเจนมากขึ้น บาร์เทนเดอร์อย่าง Jerry Thomas ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งมิกโซโลยีอเมริกัน และได้ตีพิมพ์ตำราผสมเครื่องดื่มเล่มแรกในปี ค.ศ. 1862 พร้อมโชว์ทักษะการผสมแบบมีลูกเล่น เช่น “Blue Blazer” ที่ใช้ไฟและการเทสลับแก้วอย่างตื่นตา
ยุคห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสหรัฐอเมริกา (Prohibition) ระหว่างปี 1920–1933 ทำให้ผู้คนต้องดื่มอย่างลับ ๆ ในบาร์เถื่อน หรือ "สปีคอีซี่" บาร์เทนเดอร์จึงใช้ส่วนผสมต่าง ๆ เช่น น้ำผลไม้และน้ำเชื่อม เพื่อกลบรสของเหล้าเถื่อนคุณภาพต่ำ ค็อกเทลอย่าง Bee’s Knees และ Sidecar จึงได้รับความนิยมในยุคนั้น
เมื่อ Prohibition สิ้นสุดลง ค็อกเทลก็เข้าสู่ยุคทอง (1930s–1960s) ค็อกเทลอย่าง Martini, Manhattan และ Daiquiri กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหรูหรา ขณะที่วัฒนธรรม "Tiki" นำเสนอเครื่องดื่มแนวทรอปิคอลอย่าง Mai Tai และ Zombie ด้วยการตกแต่งสไตล์เกาะแปซิฟิก
ช่วงทศวรรษ 1970–1980 ค็อกเทลเริ่มเสื่อมความนิยม เพราะมีการใช้ส่วนผสมสำเร็จรูปมากขึ้น แต่กระแสก็กลับมาในยุค 1990 เป็นต้นมา เมื่อบาร์เทนเดอร์หันกลับไปใช้วัตถุดิบสด สูตรคลาสสิก และเทคนิคดั้งเดิม เกิดเป็นการฟื้นคืนชีพของค็อกเทลแบบคราฟต์
ปัจจุบัน ค็อกเทลคือการผสมผสานระหว่างอดีตกับนวัตกรรมใหม่ ๆ ตั้งแต่มิกโซโลยีแบบโมเลกุลไปจนถึงการใช้วัตถุดิบออร์แกนิก ทุกแก้วที่เสิร์ฟเปรียบเสมือนงานศิลปะที่สะท้อนตัวตนของผู้สร้างสรรค์
เรียบเรียงโดย: Kim SMD